ค้นหาบล็อกนี้

วิธีพิทักษ์ รักษ์โลกของเรา

"เราทำได้ คุณก็ทำได้"
ลดปริมาณขยะ
ลดการใช้พลังงาน
เพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับน้ำ
รักษาพันธุ์สัตว์ป่า

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554

'โซลาร์ ฟาร์ม’ ขุมทรัพย์ใหม่ในตลาดพลังงานไทย

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญในเรื่องของพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเรื่องการนำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้า และพลังงานที่น่าจับตามมองที่สุดในตอนนี้ก็คงเป็น ‘พลังงานแสงอาทิตย์’ เพราะหากพิจารณาดูแล้วก็เรียกว่าเป็นพลังงานที่เกื้อกูลธรรมชาติแทบจะที่สุด

โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซล่าร์ ฟาร์ม จึงค่อยๆ ผุดราวดอกเห็ดไปทั่วทุกทวีป ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ที่ดูเหมาะเจาะไปเสียหมดทั้งเรื่องแสงอาทิตย์อัดเจิดจ้าในยามกลางวัน และภูมิทัศน์แถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เอื้อกับโรงไฟฟ้าประเภทนี้อย่างยิ่ง ด้านนโยบายพลังงานของไทยเองก็สนับสนุนการใช้พลังงานทางเลือกด้วยการให้เงินอุดหนุน บวกกับนโยบายที่ให้การไฟฟ้าฯ รับซื้อพลังงานอย่างไม่จำกัด

ซึ่งในปัจจุบันมีเอกชนที่เสนอขายไฟฟ้าต่อ กฟผ.(การไฟฟ้าฝ่ายผลิต) แล้วกว่า 5,051.0 เมกะวัตต์ ในขณะที่เป้าหมายตามที่รัฐกำหนดไว้ในปี 2565 อยู่ที่ 5,604.0 เมกะวัตต์

นักลงทุนภาคเอกชนเองจึงมองเห็นขุมทรัพย์ในตลาดพลังงาน คลอดโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นจำนวนมาก อาทิ โครงการโซลาร์ฟาร์ม โคราช 1 โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่สุดในอาเซียน ต.ดอนชมพู อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา ที่ทุ่มทุนกว่า 700 ล้าน ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ร่วม 3 หมื่นแผง มีกำลังผลิต 6 เมกะวัตต์ และเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ เมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา โดยโกยรายเฉลี่ยวันละกว่า 4.3 แสนบาท ฯลฯ

อีกหนึ่งโครงการยักษ์ที่ไม่เอ่ยถึงคงจะไม่ได้ โครงการลพบุรี โซล่าร์ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังผลิต 73 เมกะวัตต์ ในจังหวัดลพบุรี ของบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด ที่มีมูลค่ากว่า8,000 ล้านบาท ซึ่งดูเหมือนว่าสถาบันการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต่างก็ให้ความเชื่อมั่นในธุรกิจพลังงานประเภทนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเดินหน้าสนับสนุนวงเงินกู้อย่างเต็มกำลังเช่นกัน

โซล่าร์ ฟาร์ม ในต่างแดน

ดวงอาทิตย์นั้นเป็นแหล่งรวมความร้อนขนาดมหึมา แม้จะอยู่ไกลนับล้านๆ กิโลเมตรก็ยังสัมผัสได้ถึง จึงไม่แปลกที่บรรดานักวิทยาศาสตร์หัวใส ต่างก็หวังจะนำพลังงานตรงนี้มาแปรสภาพเป็นกระแสไฟฟ้า ถึงแม้พลังงานชนิดนี้จะให้ผลที่ดีเกินคาด แต่ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญอย่างเรื่องต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างสูงได้



อย่างไรก็ตาม หลายๆ ประเทศเริ่มหันมาสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้นโดยเฉพาะ 3 ประเทศมหาอำนาจอย่าง สเปน เยอรมนี และจีน ที่ดูจะจริงจังและเริ่มต่อยอดกับเรื่องนี้มากที่สุด ล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 สเปนก็ได้เปิดตัวโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โรงไฟฟ้าเยมาโซลาร์ ที่สามารถผลิตไฟฟ้าในเวลากลางคืนเป็นแห่งแรกของโลก โดยใช้ระบบผลิตไฟฟ้าแบบหอพลังงาน ติดตั้งแผงพีวีเป็นแนวทรงกลมรวม 2,650 แผง ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1,156 ไร่ โดยคาดว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะสามารถนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 110 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ใน 25,000 ครัวเรือน

เช่นเดียวกับที่เยอรมนีก็มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ตั้งอยู่ในเมืองอาร์นสตีน ซึ่งอยู่ในหุบเขาและผลิตกระแสไฟฟ้าในลักษณะฟาร์มไฟฟ้าแสงอาทิตย์ 12 เมกะวัตต์ สามารถป้อนไฟฟ้าหล่อเลี้ยงประชากรได้สูงถึง 900,000 คนเลยทีเดียว

หรือที่จีนมีโครงการจะสร้างโรงงานที่เมืองตงหวง มณฑลกานซู ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 31,000 ตารางเมตร สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ถึง 100 เมกะวัตต์ โดยทุ่มเงินมากกว่า 30,640 ล้านบาท และใช้เวลาก่อสร้างเป็นเวลา 5 ปี โดยแว่วข่าวมาว่ารัฐบาลจีนจะใช้โรงไฟฟ้าตัวนี้เป็นต้นแบบของโรงไฟฟ้าที่จะผลิตต่อไปทั่วประเทศ และต่อไปก็จะขยายธุรกิจด้วยการพลังงานไฟฟ้าไปยังต่างประเทศอีกด้วย

ความน่าจะเป็นในประเทศไทย

เมื่อหันกลับมามองทิศทางของพลังงานทดแทนชนิดนี้ในประเทศไทยก็ดูเหมือนว่าจะมีการตอบรับที่ดีไม่น้อย ทั้งภาครัฐก็มีนโยบายอุดหนุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง ภาคประชาชนเองก็ไม่ได้มีการคัดค้านต่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ สุดท้ายรูปธรรมที่จับต้องได้ของมันก็กลายเป็นการร่วมทุนในภาคเอกชน

ดร. เดชรัตน์ สุขกําเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงการนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์มาผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น อย่างแรกคือมีความเหมาะสมทางด้านทรัพยากร แม้ดวงอาทิตย์ไม่ได้มีแสงสว่างตลอดเวลา แต่ก็ถือว่าประเทศไทยมีความเหมาะสมกับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับหนึ่ง

ด้านแผนพัฒนากําลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553-2573 (Power Development Plan : PDP2010) ก็มีการกำหนดสัดส่วนของพลังงานทดแทนไว้ที่ร้อยละ 8.0 ซึ่งก็เอื้อให้กับธุรกิจพลังงานประเภทนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งการลงทุนในเรื่องของพลังงานทดแทนก็ส่งผลให้ภาครัฐเกิดการชะลอตัวในการสร้างโรงไฟฟ้าไปได้ระยะหนึ่ง






“ตอนนี้พลังงานหมุนเวียนจะทำให้เขาลดการก่อสร้างโรงงานไฟฟ้าไปได้จำนวนหนึ่ง ถ้าถามว่าไม่มีพลังงานทดแทนแล้วเรายังเดินหน้าต่อได้ไหม...ได้ครับ พลังงานเราเพียงพอ ไม่ได้ขาด แต่ว่าการมีพลังงานทดแทนมันลดความจำเป็นในการสร้างเพิ่มขึ้น”

ทิศทางของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นตลอด ด้านกระทรวงพลังงานเองก็สนับสนุนเงินทดแทน นโยบายของรัฐบาลเองก็พร้อมรับซื้อพลังงานจากเอกชนทั้งหมด ทิศทางของพลังงานชนิดนี้คงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หากรัฐบาลยังให้การสนับสนุนต่อภาคธุรกิจที่เข้ามาลงทุนทางด้านพลังงาน

ทั้งนี้ ดร. เดชรัตน์ ทิ้งท้ายในเรื่องแผนยุทธศาสตร์ทางด้านเทคโนโลยีว่า ควรกำหนดข้อตกลงการซื้อขายพลังงานที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะที่ผ่านมายังมีความหละหลวมกลายเป็นช่องทางฉกฉวยประโยชน์ต่อธุรกิจพลังงานของเอกชน อาทิ การออกใบอนุญาตซื้อขายพลังงาน แต่ถ้าเอกชนไม่สามารถทำตามสัญญาได้ก็ไม่ต้องถูกดำเนินการอะไร เพียงแต่ต้องแจ้งให้รัฐทราบล่วงหน้าเท่านั้น

ด้านสถาบันการเงินรายใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทย ก็ร่วมเป็นหัวหอกในการปล่อยกู้เพื่อลงทุนในธุรกิจด้านพลังงานแสงอาทิตย์ นพเดช กรรณสูต ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัท ธนาคารกสิกรไทย กล่าวถึงปัจจัยทางด้านความเชื่อมั่นในการคืนทุนของธุรกิจพลังงานทดแทนว่า

“เรามองถึงการจัดโครงสร้างธุรกิจก่อน อย่างโครงสร้างของพลังงานแสงอาทิตย์มันมีส่วนประกอบที่สำคัญในเกณฑ์พิจารณาการปล่อยกู้ ไม่ว่าจะเป็น หนึ่ง-การพิจารณาทางด้านผู้ลงทุนก่อน เราจะต้องดูก่อนว่าผู้ลงทุนเองมีความตั้งใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน และในส่วนของทักษะความเข้าใจเรื่องของธุรกิจ แล้วก็พิจารณาเรื่องความพร้อมของแหล่งเงินทุนมากแค่ไหน สอง-พิจารณาว่าเคยมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในต่างประเทศมาก่อนรึเปล่า หรือดูว่ามีการทำสัญญาการซื้อขายไฟกับภาครัฐไหม กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคหรือเปล่า สุดท้ายคือดูว่าคนที่มารับเหมาก่อสร้างโครงการมีความเชื่อถือได้แค่ไหน ซึ่งทุกข้อมันอยู่ในมาตรฐานสากลอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาจากปัจจัยเหล่านี้เราก็มีความสามารถมั่นใจได้ว่าธุรกิจพลังงานฯ สามารถที่จะคืนทุนได้”

แสงอาทิตย์ พลังงานทดแทนที่มาพร้อมเงิน

“คนทั่วไปในระดับประชาชนของประเทศเรายังไม่ตื่นตัวด้านพลังงานทางเลือก ซึ่งก็มีอยู่บ้างแต่ไม่มาก ประเด็นต่อมาถ้าเป็นในระดับผู้ประกอบการนั้นก็ตื่นตัวเพราะอยากได้ตังค์ การทำระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อขายไฟฟ้านั้น เรื่องนี้เขาทำกันมานานแล้วเป็นการทำเพื่อกำไร เขาไม่ได้มองเรื่องของพลังงานสะอาดเป็นอย่างแรกแต่มองเรื่องผลกำไรมากกว่า”

นันท์ ภักดี ตัวแทนจากอาศรมพลังงาน (สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสม) กล่าวถึงอีกแง่มุมของการพลังงานทางเลือกเรื่องพลังงานทางเลือกในประเทศไทย ทั้งนี้ยังโต้แย้งถึงเรื่องค่าใช้จ่ายของระบบพลังงานแสงอาทิตย์ว่า แท้จริงแล้วไม่ได้สูงอย่างที่ทราบกัน

“ตอนนี้ที่จีนนั้น อุปกรณ์ในการนำมาใช้ทำระบบ ขายกันอยู่ที่วัตต์ละเหรียญหรือประมาณ 30 กว่าบาท แต่ในบ้านเราอุปกรณ์พวกนี้ขายกันวัตต์ละเป็นร้อยเลย ต่างกัน 3 เท่า เรี่องแบบนี้มันมีความซับซ้อนอยู่สูงเสียจนเราไม่สนใจมันด้วย”

นันท์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่าทุกคนถูกหล่อหลอมว่าจะต้องทำไฟขายให้กับการไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งการไฟฟ้าก็เอาไปขายให้กับครัวเรือนอยู่ดี ดังนั้นมันก็แสดงให้เห็นว่าครัวเรือนสามารถทำไฟใช้เองได้ แต่ไม่มีใครพูดเพราะสังคมไทยมองเรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตามหากมองในภาพรวมโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ เลขามูลนิธิโลกสีเขียว กล่าวว่าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นเป็นพลังงานที่สะอาดซึ่งมนุษย์ได้รับมาฟรีๆ แต่กลับยังไม่ได้นำมาใช้งานอย่างเต็มที่ และยังขาดการบริหารจัดการที่ดีพอของการใช้พลังงานหมุนเวียน เนื่องจากพลังงานหมุนเวียนนั้นเป็นภาพใหญ่ ไม่ควรมองเฉพาะแค่พลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น

“พลังงานแสงอาทิตย์นั้นน่าใช้อยู่แล้วแต่มันก็มีข้อจำกัดอะไรหลายๆ อย่างในตัวมันเอง เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะมองแยกส่วนไปเป็นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ต้องมองเป็นภาพใหญ่ พิจารณาดูว่าศักยภาพของพื้นที่ที่เราตั้งอยู่มีศักยภาพในการผลิตพลังงานประเภทไหน อย่างบ้านเรามีแสงแดดมาก มีชีวมวล ซึ่งสามารถนำมาแปลงเป็นพลังงาน แต่ก็ต้องมาดูว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด”

ดร.สรณรัชฎ์ทิ้งท้ายว่า การใช้พลังงานธรรมชาตินั้น ประชาชนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการผลิต โดยภาครัฐจะต้องมีการผลักดันในเชิงเศรษฐกิจเพื่อจูงใจและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาผลิตและใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น

“อย่างที่สเปนมีเป็นกฎหมายเลยว่าทุกบ้านจะต้องมีแผงโซล่าเซลล์ซึ่งการที่จะออกมาเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการไปคิดระบบเศรษฐกิจที่จะมาสร้างแรงจูงใจและมาช่วยเหลือคนได้”



ก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วทิศทางของพลังงานทดแทนจะเพียงพอต่อความต้องการของมวลมนุษยชาติหรือไม่ แต่ถ้ามองภาพปัจจุบันการลงทุนในเรื่องพลังงานทดแทนผ่านโรงงานพลังแสงอาทิตย์ในเมืองไทยนั้น ได้กลายเป็นขุมทรัพย์ให้เหล่าภาคเอกชนเข้ามาลงทุนกันได้อย่างเสรีไปเรียบร้อยแล้ว...

ที่มา>>http://green.in.th/node/2566

กรมชลประทาน ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำ จัดสัมมนาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมวางแผนพัฒนาลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน

กรมชลประทานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำ จัดสัมมนาครั้งใหญ่ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมวางแผนพัฒนาลุ่มน้ำยม-น่านให้เห็นผลเป็นรูปธรรม หวังได้แนวทางแก้ไขปัญหาน้ำในระยะเร่งด่วน พร้อมกำหนดทิศทางดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบ
นายชลิต ดำรงศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีและคณะได้ ติดตามสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งเกิดจากการที่ประเทศไทยมีฝนตกหนักจากพายุนกเต็นมีผลทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่นั้น ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่11 สิงหาคม และ 16 สิงหาคม 2554 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยซ้ำซากและการบริหารจัดการลุ่มน้ำให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้เร่งศึกษาทบทวนโครงการที่สามารถดำเนินการได้ในระยะเร่งด่วน


กรมชลประทานจึงได้จัดสัมมนาในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอข้อมูลในด้านต่างๆ ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะกรรมการลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน รวมทั้งประชาชนที่ร่วมสัมมนากว่า 400 คน ได้รับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบันของทั้งสองลุ่มน้ำ อาทิ สภาพปัญหา โครงการพัฒนาแหล่งน้ำต่างๆที่กรมชลประทานได้ดำเนินการในระยะที่ผ่านมา ตลอดจนแผนงานยุทธศาสตร์การพัฒนาและบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน รวมทั้งรับทราบความต้องการและปัญหาต่างๆของทั้ง 2 ลุ่มน้ำ เพื่อกำหนดทิศทางร่วมกันในการพัฒนาลุ่มน้ำยม-น่านที่ถูกต้องและเหมาะสม และร่วมกำหนดแผนงานการพัฒนาและบริหารจัดการในระยะเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมและการขาดแคลนน้ำ
สำหรับลุ่มน้ำยม มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาผีปันน้ำ อำเภอปง จังหวัดพะเยา ไหลผ่านจังหวัดแพร่ สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร แล้วไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่านที่จังหวัดนครสวรรค์ รวมความยาวตลอดลำน้ำประมาณ 735 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำทั้งหมด 23,616 ตารางกิโลเมตร มีลุ่มน้ำย่อย 11 ลุ่มน้ำ คือแม่น้ำยมตอนบน แม่น้ำควร น้ำปี้ แม่น้ำงาว แม่น้ำยมตอนกลาง แม่คำมี แม่ต้า ห้วยแม่สิน แม่มอก แม่รำพัน และแม่น้ำยมตอนล่าง
อย่างไรก็ตามด้วยลักษณะของลำน้ำยมที่เป็นคอขวดและไหลคดเคี้ยวไปมา รวมทั้งมีสภาพตื้นเขิน ทำให้การระบายน้ำไม่ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะในช่วงตอนปลายของลุ่มน้ำ เมื่อมีฝนตกหนักจึงทำให้เกิดน้ำท่วมซ้ำซากสร้างความเสียหายอย่างมากแทบทุกปี ในขณะเดียวกันพอถึงฤดูแล้งก็จะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำและทวีความรุนแรงขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน ปัจจุบันในพื้นที่ลุ่มน้ำยมมีการพัฒนาแหล่งน้ำด้วยการก่อสร้างฝายปิดกั้นลำน้ำ และมีอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ขนาดเล็ก แก้มลิงและโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าเฉพาะในลำน้ำสาขาของลุ่มน้ำยมเท่านั้น ซึ่งการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำยมจนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 741 โครงการแต่สามารถเก็บกักน้ำได้เพียง 406 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของปริมาณน้ำท่าทั้งลุ่มน้ำที่มีมากถึง 4,100 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี

ส่วนโครงการพัฒนาลุ่มน้ำยมนั้น ได้มีการศึกษาและวางแผนไว้ทั้งการพัฒนาโดยมาตรการไม่ใช้สิ่งปลูกสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำระบบเตือนภัย การปรับปรุงประสิทธิภาพการชลประทาน การผันน้ำหลาก การขุดลอกลำน้ำธรรมชาติ และการพัฒนาโดยมาตรการสิ่งก่อสร้าง เช่น ได้มีการพัฒนาพื้นที่รองรับน้ำและแก้มลิง 118 แห่ง สามารถเก็บน้ำได้ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร พัฒนาโครงการแหล่งน้ำขนาดกลางจำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ สามารถเก็บน้ำได้ 348 ล้านลูกบาศก์เมตรเท่านั้น
อธิบดีกรมชลประทานกล่าวต่อว่า ในส่วนของลุ่มน้ำน่านนั้นเป็นลุ่มน้ำที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือ มีพื้นที่ทั้งสิ้นรวม 34,908 ตารางกิโลเมตร ไหลผ่านจังหวัดน่าน อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร และนครสวรรค์ประกอบด้วยลุ่มน้ำสาขา 16 ลุ่มน้ำ เช่น น้ำว้า น้ำปาด แม่วังทอง และแม่น้ำแควน้อย ซึ่งเป็นลำน้ำสาขาที่ใหญ่ที่สุด เป็นต้น ที่ผ่านมามีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเกิดขึ้นในลุ่มน้ำน่านค่อนข้างมาก แต่ยังขาดโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ในลุ่มน้ำน่านตอนบนเหนือเขื่อนสิริกิติ์ จึงทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดน่านบ่อยครั้ง
ทั้งนี้ในปัจจุบันลุ่มน้ำน่านมีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กรวมทั้งสิ้นกว่า 143 โครงการสามารถกักเก็บน้ำได้ 10,584 ล้านลูกบาศก์เมตรคิดเป็นร้อยละ 87 ของปริมาณน้ำท่ารายปีทั้งลุ่มน้ำ
สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญๆของลุ่มน้ำน่าน เช่น เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลาจังหวัดอุตรดิตถ์ สามารถเก็บกักน้ำได้สูงสุด 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนนเรศวรซึ่งเป็นเขื่อนทดน้ำทางตอนล่าง เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก ที่สามารถเก็บกักน้ำได้ 939ล้านลูกบาศก์เมตร และขณะนี้กรมชลประทานกำลังดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยรี จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง สามารถเก็บน้ำได้ 73.7 ล้านลูกบาศก์เมตร นอกจากนั้นยังมีเขื่อนทดน้ำผาจุก จ.อุตรดิตถ์ ดังนั้นปัญหาในเรื่องน้ำไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเสีย ในลุ่มน้ำน่านจึงไม่รุนแรงเหมือนลุ่มน้ำยมรวมทั้งยังสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
“การสัมมนาสัมมนาลุ่มน้ำยม-น่าน ในครั้งนี้กรมชลประทานหวังเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันหาแนวทางและดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบ” อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวในตอนท้าย
>>>ที่มา http://www.rid.go.th/2009/index.php?option=com_content&view=article&catid=23%3A2009-12-21-08-25-31&id=753%3A2011-08-31-05-04-22&Itemid=54

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2554

นักวิจัยไทยพัฒนาฉนวนกันความร้อนจากวัสดุการเกษตร

สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สนับสนุนนักวิจัยไทยพัฒนาแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สำหรับบ้านพักอาศัยในเขตร้อนชื้น ที่ช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านลงได้ถึง 3 องศาเซลเซียส รายละเอียดติดตามจากรายงาน
ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงมีวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเปลือกมะพร้าวและชานอ้อย ขณะเดียวกันประเทศไทยเป็นเมืองร้อนชื้นมีอากาศที่ค่อนข้างร้อนตลอดทั้งปี เกิดการใช้พลังงานเพื่อปรับอุณหภูมิในที่พักอาศัยจำนวนมาก งานวิจัยแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สำหรับบ้านพักอาศัยในเขตร้อนชื้นของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พันธุดา พุฒิไพโรจน์ และคณะจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพฯ โดยการสนับสนุนทุนการวิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หรือ วช. จึงริเริ่มขึ้นเพื่อแปรรูปเศษผลผลิตทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์มากกว่าของเหลือทั้ง และช่วยลดสภาวะโลกร้อนจากการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พันธุดา พุฒิไพโรจน์ นักวิจัยบอกว่า การวิจัยเพื่อพัฒนาแผ่นฉนวนกันจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร ผลิตจากเปลือกมะพร้าวและชานอ้อยที่เหลือจากภาคการเกษตร ด้วยวิธีการอัดร้อนแบบไม่ใช้กาวเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากสารพิษต่างๆ ต่อสภาพแวดล้อมและผู้ใช้งาน โดยพบว่า แผ่นฉนวนที่ผลิตขึ้นมีคุณสมบัติทางความร้อนใกล้เคียงกับฉนวนกันความร้อนทื่ใช้งานในบ้านเรือนปัจจุบัน สามารถลดอุณหภูมิอากาศเปรียบเทียบกับการไม่ใช้ฉนวนได้สูงสุดถึง 3.3 องศาเซลเซียส
“งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกมะพร้าวและชานอ้อยให้มีคุณภาพเทียบเท่ากับฉนวนกันความร้อนที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน โดยหลีกเลี่ยงการใช้กาวที่มีสารพิษในการขึ้นรูปแผ่นฉนวน ซึ่งเราทดลองนำแผ่นฉนวนที่ทำจากเปลือกมะพร้าวและชานอ้อยมาใช้เป็นแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่อลดการถ่ายเทความร้อน พบว่า สามารถลดความร้อนได้ไม่แตกต่างฉนวนที่ใช้งานดีที่สุดในปัจจุบัน ”
แผ่นฉนวนกันความร้อนจากเปลือกมะพร้าวและชานอ้อยที่ผลิตขึ้น ยังมีราคาถูกกว่าราคาฉนวนที่จำหน่ายในท้องตลาด ด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่ยุ่งยากและต้นทุนต่ำ จึงเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้ที่สนใจ ตลอดจนมีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อนำไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ได้
งานวิจัยการพัฒนาแผ่นฉนวนกันความร้อนจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร สำหรับบ้านพักอาศัยในเขตร้อนชื้น จะนำไปจัดแสดงให้ผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมและศึกษาได้ ภายในงานการนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ ประจำปี 2554 ไทยแลนด์รีเสริช เอ๊กซ์โป 2011 ระหว่างวันที่ 26-30 สิงหาคมนี้ ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

>>ที่มา http://thainews.prd.go.th/view.php?m_newsid=255408210136&tb=N255408&news_headline=รายงานพิเศษ : นักวิจัยไทยพัฒนาฉนวนกันความร้อนจากวัสดุการเกษตร

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พบรอยเท้ามนุษย์โบราณที่จ.พิษณุโลก!!


คณะทัวร์ป่าหน้าฝนของอุทยานภูหินร่องกล้า อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ที่เดินทางสำรวจท่องเที่ยวภายในอุทยานฯ ได้พบกับรอยเท้าบนหินก้อนใหญ่ ตามเส้นทางไปลานหินปุ่ม ตรงข้ามกับสะพานมรณะ จึงแจ้งให้นายศักดิ์ปรินทร์ สุรารักษ์ ผู้ช่วยอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เข้าตรวจสอบพร้อมแจ้งผู้สื่อข่าวไปพิสูจน์จุดรอยเท้าบนหินดังกล่าว

โดยพบว่าบริเวณดังกล่าวมีรอยเท้าขนาดเล็ก คาดว่าเป็นรอยเท้ามนุษย์โบราณ 1 รอย ฝังอยู่บนลานหินก้อนหนึ่ง บนเขาสูง กลางป่าดิบชื้นสมบูรณ์ เพราะดูจากสภาพแวดล้อม ก้อนหินทรายดังกล่าวปกคลุมด้วยมอสและเฟิร์น ห่างจากถนนลาดยาง ตรงข้ามสะพานมรณะ 700 เมตร

ลักษณะทางกายภาพที่ปรากฏ คือ คล้านกับรอยเท้าคนข้างขวา ข้างเดียว เหมือนกับเหยียบย่ำบนพื้นโคลน แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯใช้มือสัมผัส ก็ต้องตกใจ เพราะมีร่องนิ้วครบทั้ง 5 นิ้ว ปรากฏชัดเจน หากเทียบเท้าของเจ้าหน้าที่ชายแล้ว คาดว่า เป็นรอยเท้าของผู้หญิงแน่นอน เพราะมีขนาดเล็กกว่า

นายไพรัช มณีงาม หัวหน้าอุทยานภูหินร่องกล้า เปิดเผยว่า รอยเท้ามนุษย์ ประทับบนหินที่ภูหินร่องกล้า ถือว่า แปลกประหลาด ยังไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน แม้เจ้าหน้าที่อุทยานฯเดินสำรวจป่าหลายครั้ง ก็ไม่เคยพบ เพราะรอยเท้ามีหญ้าหรือมอสปกคลุม

“คงไม่มีใคร ลงทุนสร้างรอยเท้ามนุษย์ไปฝังบนเนินหินแน่นอน น่าจะเกิดโดยธรรมชาติ หากพิจารณาจากประวัติศาสตร์ภูหินร่องกล้า ก็ถือว่า ตอกย้ำความเชื่อที่ว่าอุทยานฯภูหินร่องกล้า เคยเป็นชั้นหินแล้วเกิดการสะสมตัวของตะกอนเม็ดกรวด เม็ดทรายใต้ท้องน้ำในยุคหลายล้านปีก่อน” หัวหน้าอุทยานฯเผย

ทั้งนี้ ตามข้อมูลธรณีวิทยาระบุว่า ลานหินแตกและลานหินปุ่ม ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวภายในอุทยานฯนั้น เป็นปรากฏการณ์ยุค 50 ล้านปีก่อน ที่มีการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก หินร่องกล้าถูกยกตัวสูงขึ้น เพราะถูกแรงบีบอัดสองด้านเกิดเป็นภูเขา ทำให้เกิดรอยแยกคือ ลานหินแตก ส่วนลานหินปุ่ม สันนิษฐานว่าเกิดจากการผุพังของชั้นหิน ต่อมาถูกน้ำกัดเซาะทำให้รอยแตกเป็นร่องลึกและกว้าง กลายเป็นรูปร่างกลมมน มองเห็นเป็นลานปุ่มเรียงราย

แต่รอยเท้า ที่เกิดขึ้นบนหินก้อนดังกล่าวนั้น ยังไม่สามารถระบุกันได้ว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร มีเพียงการสันนิฐานกันว่า น่าจะเป็นร่องรอยมนุษย์ยุคหลายล้านปีก่อน แต่ ณ วันนี้ยังไม่มีนักวิชาการพิสูจน์แน่ชัด

ส่วนการจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมนั้น ยังลำบาก เพราะรอยเท้าอยู่บนเส้นทางป่ารกทึบ


ขอขอบคุณที่มา : http://www.onep.go.th/index.php?option=com_content&view=category&id=72&layout=blog&Itemid=85

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

รายชื่อสมาชิกในกลุ่ม
1.นางสาว นพรัตน์ นุตวงษ์
2.นางสาว ณิชากร ภู็่หัสดร
3.นาวสาว อัมราพร สายสุดใจ
4.นางสาว ชนิดา โนนใหม่
5.นางสาว บุษกร นภาแก้ว

ฉลามวาฬ Whale shark



ปลาใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดโตเต็มที่อาจยาวเกิน 12 เมตร น้ำหนักเกิน 11 ตัน ฉลามวาฬพบได้ทั่วโลก แต่มีเพียงทะเลบางแห่ง...บางแห่งเท่านั้น ที่พบเขาชุกชุม จนกลายเป็นตำนานเล่าขานถึงปลาใหญ่สุดที่มวลมนุษยชาติได้รู้จัก เมื่อพ.ศ.2467 กลางอ่าวไทย ฉลามวาฬขนาดยาวเกิน 15 เมตรถูกจับได้ ตลอดประวัติศาสตร์หลายพันปีของมนุษย์ เราไม่เคยพบปลาตัวไหนใหญ่กว่านั้น...อีกแล้ว


ลำดับทางอนุกรมวิธาน

Phylum Vertebrata
Class Chordata
Order Orectolobiformes
Family Rhincodontidae
Genus Rhincodon
Sciencetific name Rhincodon typus
ชื่อไทย ฉลามวาฬ หัวบุ้งกี๋
ชื่อสามัญ Whale shark



ฉลามวาฬ ( Whale shark - Rhincodon typus ) เป็นสัตว์เลือดเย็นในพวกปลากระดูกอ่อน กลุ่มปลาฉลาม เป็นชนิดเดียวใน Family Rhincodontidae และอยู่ใน Order Orectolobiformes ร่วมกับฉลามเสือดาว ( leopard shark - Stegostoma fasciatum ) และ ฉลามขี้เซา ( Nurse shark - Nebrius ferrugineus )

ฉลามวาฬ ใช้เหงือกในการหายใจ มีช่องเหงือก 5 ช่อง มีครีบอก 2 อัน ครีบหาง 2 อัน และครีบก้น(หาง) 1 อัน หางของฉลามวาฬ อยู่ในแนวตั้งฉาก และโบกไปมาในแนวซ้าย-ขวา แตกต่างจากสัตว์เลือดอุ่นในทะเลที่หางอยู่ในแนวขนานและหายใจด้วยปอด อาทิ วาฬ โลมา พะยูน เป็นต้น

ฉลามวาฬเป็นปลาและสัตว์เลือดเย็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก กิน plankton เป็นอาหารเช่นเดียว กับกระเบนราหู ( Manta ray - Manta brevirostris ) แต่มีวิธีการกินที่แตกต่างกันออกไป โดยฉลามวาฬจะว่ายเข้าหาฝูง plankton แล้วอ้าปากหุบน้ำ เข้าไปจากนั้นก็จะใช้ซี่เหงือกกรอง plankton ไว้ ขณะที่ manta จะอ้าปากให้น้ำผ่านตลอดเวลา

ลักษณะของฉลามวาฬที่แตกต่างจากฉลามที่เรารู้จักกันคือ หัวที่ใหญ่โตมากเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว และปากที่อยู่ด้านหน้าแทนที่จะอยู่ด้านล่าง ลักษณะการกินอาหารไม่ใช่ปัจจัยที่นักวิทยาศาสตร์ใช้แบ่งฉลามวาฬออกจากฉลามตัวอื่นๆ เนื่องจากยังมีฉลามอีก 2 ชนิดที่ กิน plankton เป็นอาหารแต่อยู่คนละ order กับฉลามวาฬ

วงจรชีวิต ฉลามวาฬเป็นสัตว์ที่มีวงจรชีวิตลึกลับ เท่าที่มีรายงานทราบว่าฉลามวาฬมีอายุยืนมาก จากรายงานของประเทศออสเตรเลียพบว่าฉลามวาฬจะเริ่มสืบพันธุ์ เมื่ออายุ 30 ปี หากเปรียบเทียบช่วงอายุการสืบพันธุ์กับฉลามอื่นใน Order เดียวกันแล้ว พบว่าฉลามวาฬอาจมีอายุถึง 100 ปี ไม่เคยมีใครเห็นฉลามวาฬผสมพันธุ์ในน้ำ แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในทะเลลึกนอกจากนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัดฉลามวาฬออกลูกเป็นตัวหรือเป็นไข่

ในปีค.ศ. 1953 มีเรือประมงลากอวนได้ไข่ของฉลามวาฬ ขนาด 35 เซนติเมตรขึ้นมาได้จากระดับความลึก 55 เมตร ภายในมีตัวอ่อนฉลามวาฬ แต่เราก็ยังไม่แน่ใจว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นไข่ เนื่องจากว่าหลังจากนั้นไม่เคยมีใครเห็นไข่ฉลามวาฬอีกเลย

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬออกลูกเป็นตัว (ไข่ฟักตัวในท้องแม่ แล้วออกมาเป็นตัวข้างนอก) สันนิษฐานว่า ฉลามวาฬ 1 ตัวอาจมีไข่มากว่า 100 ฟอง ในรังไข่ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานนี้ก็ยังไม่มีการยืนยัน

บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมไม่เทียบกับฉลามอื่นๆใน Order เดียวกัน คำตอบก็คือ ฉลามในกลุ่มเดียวกันนั้นออกลูกได้ทั้งเป็นตัว(ฉลามขี้เซา) และเป็นไข่(ฉลามเสือดาว) เรื่องที่น่าประหลาดอีกเรื่องก็คือ ฉลามวาฬ เกือบทั้งหมดที่พบมีขนาดใหญ่กว่า 3.5 เมตร มีเพียง 3 ครั้ง เท่านั้นที่พบขนาดเล็กกว่านั้น คือมีขนาด 60 เซนติเมตร 1.3 เมตร และ 3 เมตร

การแพร่กระจาย ฉลามวาฬมีการแพร่กระจายในทะเลเขตร้อนทั่วโลก ยกเว้นทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ฉลามวาฬมักอาศัยอยู่ในบริเวณที่น้ำมีอุณหภูมิ 21-26 องศาเซลเซียส โดยมีการแพร่กระจายสัมพันธ์กับกระแสน้ำอุ่นในบางบริเวณ ฉลามวาฬมักพบในเขตที่มวลน้ำอุ่นปะทะกับน้ำเย็นและ มี plankton มาก ในบริเวณน้ำผุด ( กระแสน้ำด้านล่างพัดปะทะแนวหินแล้วพัดพาเอาธาตุอาหารจากพื้นขึ้นสู่มวลน้ำด้านบน - Upwelling )

นอกจากนี้หลายคนเชื่อว่าฉลามวาฬมีการอพยพย้ายถิ่นแต่ยังไม่มีแนวทางแน่นอนว่าเป็นแนวทางใด ฉลามวาฬในเมืองไทยส่วนใหญ่พบตามกองหินใต้น้ำในบริเวณทะเลเปิด มีความลึก 30 เมตรขึ้นไป อาทิ ริเชลิว หินม่วง หินแดง กองตุ้งกู โลซิน ฯลฯ จุดที่เชื่อกันว่าพบฉลามวาฬบ่อยที่สุดคือ ริเชลิว มีความเป็นไปได้ในเรื่องการอพยพของฉลามวาฬในระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร อาทิ พบว่ามีการอพยพของฉลามวาฬจากเกาะปาปัวนิวกีนีลงมาตามชายฝั่งด้านตะวันออกของแนวปะการัง great barrier reef

การล่าฉลามวาฬในต่างประเทศ ชาวประมงต้องการเพียงแค่ซึ่งมีราคาสูงที่สุด ครีบและหางจะถูกนำมาตากแห้ง ก่อนแล่แล้วส่งโรงงานทำเป็น “หูฉลาม” บางครั้งชาวประมงแล่เอาครีบและหางกลางทะเล ก่อนปล่อยให้ซากศพจมสู่พื้นทะเล เนื้อส่วนท้องของฉลามวาฬจะถูกชำแหละเป็นชิ้น เนื้อส่วนนี้จะถูกนำไปทำเป็น “ฉลามเต้าหู้” ส่วนเครื่องในของฉลามวาฬ เช่น ตับ จะถูกนำส่งโรงงานไปทำน้ำมันตับปลา ใส่แคปซูลไปให้คนกินทั่วโลก แต่ไม่ใช่เฉพาะฉลามวาฬเท่านั้นที่มีตับ ปลาอื่นก็มี และยังมีอีกหมื่นอีกแสนปลาที่เป็นอาหารของพวกเราโดยตรง ไม่จำเป็นต้องฆ่าฉลามวาฬเพียงเพื่อหวังตับและครีบ



เหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดในทะเลไทย ประมงไทยยังนับถือฉลามวาฬเหมือนเจ้าพ่อ หรือตัวนำโชคแต่ฉลามวาฬเป็นสัตว์อพยพ มีการเดินทางจากทะเลหนึ่งไปอีกทะเลหนึ่ง เขาไม่รับรู้รับทราบกับการแบ่งขอบเขตประเทศของมนุษย์แม้แต่น้อย

หลายสิบปีผ่านไป ฉลามวาฬยังคงอยู่คู่ทะเลไทย พบชุกชุมที่หินริเชลิว ฝั่งทะเลอันดามัน จังหวัดพังงา ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน บริเวณหินม่วง-หินแดง ในเดือนมกราคม ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลที่พบทั่วไปในอ่าวไทย เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี หินเพลิง จังหวัดระยอง หินแพ จังหวัดชุมพร ฯลฯ นักดำน้ำต่างพากันลงทะเล ยอมเสียเงินหลายหมื่นบาท บางคนลงทุนข้ามโลกมา เพื่อเพียงได้เห็น ได้มีโอกาสว่ายน้ำเคียงคู่กับปลาใหญ่ที่สุดในโลกสักครั้งในชีวิต ข้อมูลจากการสำรวจขั้นต้น ฉลามวาฬหนึ่งตัวที่หินริเชลิว ทำรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 200 ล้านบาทต่อปี

บริเวณอ่าวไทยฝั่งตะวันออกมีชาวประมงและนักดำน้ำเจอกันเป็นประจำในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งฉลามวาฬส่วนใหญ่จะเข้ามากินอาหาร ได้แก่พวกลูกกุ้ง เคย เนื่องจากมีความชุกชุมมากในช่วงนี้ จากการสอบถามคุณวิเชียร สิงห์โตทอง ประธานชมรมธุรกิจท่องเที่ยว บอกว่าในปี พ.ศ. 2546 เจอฉลามวาฬ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2546 มีความยาวประมาณ 8 เมตร ที่บริเวณเกาะรัง จังหวัดตราด ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2546 พบบริเวณหินเพลิง จังหวัดระยอง ความยาวลำตัวประมาณ 7-8 เมตร พบที่ความลึกของน้ำประมาณ 30 เมตร และจากการสอบถามชาวประมงเรือไดหมึก พบฉลามวาฬเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) บริเวณเกาะทะลุ และบริเวณหมู่เกาะมัน ที่ความลึกของน้ำประมาณ 15-17 เมตร ในปีพ.ศ.2548 คืนวันที่ 22 พฤษภาคม 2548 คุณวิเชียร สิงห์โตทอง พบปลาฉลามวาฬเพศเมีย ความยาวลำตัว 4.5 เมตร น้ำหนัก 480 กิโลกรัม เข้ามาเกยตื้นที่บริเวณหาดแหลมแม่พิมพ์ จังหวัดระยอง ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ชาวบ้านและชาวประมงในบริเวณนั้นช่วยกันผลักให้ฉลามวาฬลงทะเลไปได้ แต่ฉลามวาฬอาจได้รับบาดเจ็บหรือป่วย เช้าวันที่ 23 พฤษภาคม 2548 ก็พบว่าได้เสียชีวิตแล้ว ซากของฉลามวาฬได้นำไปผ่าพิสูจน์ปรากฏว่าไม่พบอาหารในกระเพาะเลย คาดว่าน่าจะป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจนว่ายน้ำ ไม่ไหว
CREDIT:http://km.dmcr.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=99:2009-02-17-04-13-13&catid=93:2009-02-16-08-37-08

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กิจกรรมรณรงค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

กิจกรรมรณรงค์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ณ หอผู้ป่วยกุมาร 1 โรงพยาบาลราชบุรี
ตึกเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ ชั้น 2
เวลา 15.49-16.55 น.
จุดประสงค์
เพื่อให้ผู้ป่วย ผู้เยี่ยม พนักงาน หมอ พยาบาล ในโรงพยาบาลได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในโรงพยาบาล ต้องมีการจัดการกับสิ่งแวดล้อมภายในโรงพยาบาลให้ดี สะอาด ไร้เชื้อโรค รวมทั้งให้ประชาชนที่เห็นการรณรงค์ของเรา ตระหนักถึงความสำคัญและช่วยกันสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นไป

ขั้นแรกก็ช่วยกันตัดกระดาษก่อน

ลองทาบดูซิใช่ได้ป่าวเนี้ย

วัดตรงมั๊ยเรา

ดูท่าจะเอียงนะเนี้ย

ช่วยกันแปะ ช่วยกันดู แบบว่าสามัคคี !